เค้ก (อังกฤษ: cake) เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบซึ่งจะทำมาจากแป้ง, น้ำตาล และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ไข่, แป้งสาลี, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนย, ชีส, ยีสต์, นม, เนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวาน และฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางสูตรก็มีการสืบทอดการทำเป็นเวลาหลายศตวรรษ
ชนิดของเค้ก
เค้กแบ่งได้เป็นหลายประเภท ดังนี้
* เค้กเนย (butter cake) ส่วนผสมหลักที่ทำให้ขึ้นฟูคือเนยโดยจะตีเนยกับน้ำตาลให้เป็นครีมฟูก่อน จึงเติมไข่ นม และแป้ง แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น เค้กชั้น ฟรุตเค้ก และเค้กปอนด์ ซึ่งหมายถึง เค้กที่ทำจากแป้งสาลีหนึ่งปอนด์ น้ำตาลหนึ่งปอนด์และ เนยหนึ่งปอนด์
* เค้กไข่ (foam cake) เป็นเค้กที่ขึ้นฟูโดยตีฟองอากาศเข้าไปในไข่ แบ่งย่อยเป็น 3 ชนิดคือ
o ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake) เป็นเค้กที่ใช้น้ำมันพืชแทนเนย
o เค้กไข่ขาว (angle food cake) ใช้ไข่ขาวล้วน ไม่ใส่ไข่แดงและไขมันใดๆ แต่ใส่น้ำตาลมาก
o สปันจ์เค้ก (sponge cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ทั้งฟองกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
* มูสเค้ก (Mousse cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ขาวหรือวิปปิ้งครีมให้ฟูก่อนจะผสมกับส่วนผสมอื่น ทำให้เค้กนุ่ม เบา มักใส่เจลาตินเพื่อช่วยให้คงรูป และต้องแช่เย็นไว้จนกว่าจะรับประทาน
* ชีสเค้ก (cheesecake) เป็นเค้กที่มีครีมชีสเป็นองค์ประกอบหลัก มีทั้งแบบอบ และแบบไม่อบแต่ใสเจลาตินเป็นตัวช่วยให้คงรูปร่าง ต้องแช่เย็นเช่นกัน
* แพนเค้ก (อังกฤษ: Pancake) เป็นขนมปังแผ่นแบนชนิดหนึ่งทำจาก แป้งนวดเปียก(batter) ซึ่งเป็นแป้งที่ ผสมกับ ของเหลว เช่น น้ำ หรือ นม และโดยมากแป้งนวดเปียกจะมีไข่เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แพนเค้กมีความหวานเล็กน้อย และ ถูกทำให้สุกด้วยการหยอดลงในกระทะแบนร้อน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ แพนเค้กมีกินในหลายประเทศในหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่แล้วแพนเค้กจะทำจาก แป้งสำเร็จรูป ซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีที่ทำให้แป้งขึ้นตัวเมื่อถูกความร้อน เช่น ผงฟู แม้ว่าในบางที เราสามารถที่จะพบ แพนเค้ก ที่ทำจาก แป้งนวดเปียก ที่หมักจากยีสต์ได้
* ในสหรัฐอเมริกา แพนเค้กมักจะนิยมกินเป็นอาหารเช้าโดยกินร่วมกับไซรัปและร่วมกับผลไม้เช่นกล้วยหรือสตรอเบอร์รี
* ในยุโรปตอนกลาง แพนเค้กจะมีความบางกว่า แพนเค้กแบบอเมริกาเหนือ และ จะสอดใส้อาหารหลายแบบ ซึ่งสามารถที่จะถูกนำไปทานเป็นอาหารกลางวัน หรือ อาหารมื้อเย็นก็ได้ แพนเค้กแบบนี้ จะถูกเรียกว่า Palatschinken ในภาษาเยอรมัน palacsinta ในภาษาฮังการี clătită ในภาษาโรมาเนีย palačinke ในภาษาเซอเบีย โครเอเชีย และ บอสเนีย naleśnik ในภาษาโปแลนด์
ประวัติ เค้ก
* Cake มีรากศัพท์มาจากภาษาของชาวไวกิ้ง (Old Norse word) ว่า "kaka" ครับ
* ประวัติ เริ่มจากปี 1843 คุณอัลเฟรดเบิร์ด (Alfred Bird 1811-1878) นักเคมีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบ "ผงฟู" หรือ "baking powder" ทำให้เขาสามารถทำขนมปังชนิดที่
ไม่มียีสต์ให้กับภรรยาของเขาคือ อลิซาเบธ (
* เค้ก ทำมาจาก แป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม เนย ผงฟู และน้ำ
* เนื่องจาก "ตำรับ" หรือ "recipies" เกี่ยวกับเค้ก มีเป็นพันๆ ตำรับ ดังนั้น....ไปค้นคว้าดูตามความชอบของแต่ละท่านนะครับ
* สำหรับเค้กมาถึงไทยเมื่อไร ไม่ทราบครับ
* แต่ ทราบมาว่า สมัยหนึ่ง มีประเทศที่ผลิตข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก เกิดภาวะ "ข้าวสาลี" ล้นตลาด ต้องการจะระบายข้าวสาลี จึงให้ทุนกับประเทศต่างๆ ให้ส่งคนไปเรียนวิธีการทำเค้ก (วัตถุดิบหลักคือแป้งสาลี) โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
* ผลที่ตามมาก็คือ พวกที่ไปเรียน... เมื่อกลับมาประเทศของตัว ก็เป็นลูกค้า....สั่งตู้อบเค้ก กับสั่งแป้งสาลี...เข้ามาเพื่อทำเค้ก...และประเทศที่ว่านี้...ต่อมาก็ไม่เคย มีปัญหา ข้าวสาลีล้นตลาดอีกเลย..